DIAMOND BUYING GUIDE

วิธีการเลือกซื้อเพชร

 

01.jpg

เวลาเราจะซื้อเพชร ไม่ว่าจะเป็นแหวนหมั้น หรือเครื่องประดับต่างๆ หลายท่านมักจะมีข้อสงสัยถึงสิ่งที่ต้องพิจารณาในการเลือกซื้อ เนื่องจากเพชรเป็นเครื่องประดับที่มีมูลค่าค่อนข้างสูง เราจึงอยากจะแนะนำหลักการง่ายๆที่ใช้ในการเลือกซื้อเพชร เพื่อให้ทุกท่านสามารถซื้อเพชรได้อย่างมั่นใจ ได้ราคาที่เหมาะสมกับคุณภาพ โดยปัจจัยหลักที่ใช้ในการพิจารณามีอยู่ 4 ข้อด้วยกันหรือที่เรียกกันว่า “4Cs”


  1. CARAT

Carat.jpg
  • ปัจจัยแรกคือปัจจัยที่เห็นได้ชัดที่สุดคือน้ำหนักของเพชร ซึ่งหน่วยมาตรฐานสากลที่ใช้วัดน้ำหนักของเพชรคือกะรัต (Carat) โดย 1 กะรัตเท่ากับ 100 สตางค์ (Point) หรือเท่ากับ 200 มิลลิกรัม

  • เพชรที่มีน้ำหนักน้อยกว่า1 กะรัต เช่น 0.50 กะรัตจะเรียกหน่วยเป็นสตางค์(Point)หรือ 50 สตางค์นั่นเอง

  • เพชรที่มีน้ำหนักมากกว่า1 กะรัต เช่น 1.20 กะรัต อาจเรียกว่า 1 กะรัต 20 สตางค์

  • น้ำหนักเป็นปัจจัยสำคัญปัจจัยหนึ่งที่มีผลต่อมูลค่าของเพชร ถ้าเปรียบเทียบเพชรที่คุณสมบัติเหมือนกันทุกประการแต่น้ำหนักต่างกัน เพชรที่มีน้ำหนักมากกว่าจะมีมูลค่าสูงกว่า ทั้งนี้เนื่องจากขนาดที่ใหญ่กว่าและความหายาก โดยเพชรยิ่งมีขนาดใหญ่ยิ่งหาได้ยากนั่นเอง


2. COLOR

Color.jpg
  • สีของเพชรนั้นจะเรียงจาก D,E,F,….ไปจนถึง Z ซึ่งเป็นการเรียงลำดับจากสีขาวบริสุทธิ์ ไม่มีสีใดเจือปน (Colorless) คือ D color ไล่ไปเรื่อยๆจนถึงมีสีติดเหลืองคือ Z Color

  • สีของเพชรหรือที่คนไทยมักเรียกว่าน้ำนั้นสีที่ถือว่ามีมูลค่าสูงสุดคือ D color หรือน้ำ 100% ซึ่งหมายถึงเพชรสีขาวบริสุทธิ์ซึ่งไม่มีสีใดเจือปนเลย จึงหาได้ยากที่สุด

  • แม้ว่าเพชรน้ำ 100% หรือ D color จะมีสีขาวบริสุทธิ์ไม่มีสีใดเจือปน ถือเป็นสีที่สวยที่สุดและมีมูลค่าสูงที่สุดด้วย แต่เราอาจไม่จำเป็นต้องซื้อเพชร D color เสมอไป ทั้งนี้เนื่องจากเพชร D color มีราคาที่สูงกว่าเพชรสีต่ำกว่าค่อนข้างมาก ดังนั้นเราอาจซื้อเพชร G color (น้ำ 97%) ซึ่งยังถือเป็นสีที่สวย น่าใช้งาน และมีราคาต่ำกว่า D color มาก เป็นต้น ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของผู้ซื้อและงบประมาณที่มี เพราะเพชรเป็นเรื่องของความสวยงามและคุณค่าทางจิตใจ ไม่มีสิ่งใดถูกหรือผิด


3.CLARITY

Clarity.jpg
  • Clarity หรือที่มักเรียกกันว่าความสะอาดนั้นถือเป็นเอกลักษณ์สำคัญที่ทำให้เพชรแต่ละเม็ดมีความแตกต่างกัน เนื่องจากเพชรแต่ละเม็ดจะมีตำหนิที่ไม่เหมือนกันเลยแม้แต่เม็ดเดียว

  • ตำหนิของเพชรจะแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ ตำหนิที่ผิว (Blemishes) และตำหนิภายใน (Inclusions) โดยตำหนิภายในจะส่งผลกับ Clarity grade มากกว่าตำหนิที่ผิว เนื่องจากตำหนิที่ผิวสามารถกำจัดออกไปได้ง่ายกว่านั่นเอง

  • โดยในการเกรด Clarity ของเพชรนั้นจะพิจารณาภายใต้การขยาย 10 เท่า (10x magnification) โดยผู้เชี่ยวชาญ แบ่งออกเป็นเกรดทั้งหมด ดังนี้

    • Flawless (FL)ไม่มีตำหนิเลยทั้งที่ผิว (Blemishes) และตำหนิภายใน (Inclusions)

    • Internally Flawless (IF) ไม่มีตำหนิภายใน (Inclusions) แต่มีตำหนิที่ผิว (Blemishes)

    • Very Very Slightly Included (VVS1, VVS2)มีตำหนิภายใน (Inclusions) ที่น้อยมาก มองเห็นได้ยากมาก

    • Very Slightly Included (VS1, VS2) มีตำหนิภายใน (Inclusions)ที่น้อยมองเห็นได้ค่อนข้างยาก

    • Slightly Included (SI1, SI2) มีตำหนิภายใน (Inclusions)ที่มองเห็นได้ง่าย

    • Included (I1,I2, and I3) มีตำหนิภายใน (Inclusions)ที่ชัดเจนและมองเห็นได้ง่ายมาก อาจมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ซึ่งตำหนิระดับนี้อาจส่งผลกระทบต่อความใสและอายุการใช้งานของเพชร

  • แม้ว่าเพชรที่ไม่มีตำหนิจะเป็นที่ต้องการของคนทั่วไปแต่ก็มีราคาที่สูงเช่นกัน ดังนั้นเราอาจเลือกเพชรที่มีตำหนิบ้าง แต่ไม่ส่งผลกระทบต่อความสวยของเพชร เช่น VVS หรือ VS เป็นต้น ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนในการซื้อลงไปได้มาก แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับความพึงพอใจ งบประมาณและความชอบของแต่ละคน


4. CUT

Cut.jpg
  • Cut หรือการเจียระไนถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ส่งผลต่อความสวยงามและมูลค่าของเพชรอย่างมาก เพราะก่อนที่จะมาเป็นเพชรอย่างที่เราเห็นกันนั้น เพชรทุกเม็ดเริ่มจากก้อนเพชรดิบ จึงต้องอาศัยช่างผู้เชี่ยวชาญในการเจียระไนเพื่อให้เพชรเม็ดนั้นสามารถเปล่งประกายสวยงามอย่างที่ควรจะเป็นได้

  • สำหรับปัจจัยที่ใช้ในการพิจารณา Cut หรือการเจียระไนนั้น จะดูตั้งแต่รูปลักษณ์ที่ปรากฏจากหน้าเพชร เช่น ไฟ ความเปล่งประกาย อีกทั้งยังพิจารณาสัดส่วนต่างๆของเพชร เช่น ขนาดของหน้าเพชร (Table) ความหนาของขอบเพชร (Girdle) ความลึกของเพชร (Depth) เป็นต้น

  • นอกจากนี้ยังพิจารณาความเงาของเพชร (Polish) และสัดส่วนความสมมาตรของเพชร (Symmetry) อีกด้วย

  • โดย Cut หรือการเจียระไนจะถูกจัดเป็น 5 ระดับได้แก่

    • 1 Excellent

    • 2 Very Good

    • 3 Good

    • 4 Fair

    • 5 Poor

  • โดยเราแนะนำให้ซื้อเพชรที่ได้ Cut grade เป็น Excellent ทั้ง Cut, Polish, Symmetry (Triple Excellent) สำหรับเพชรกลม หรืออย่างน้อยที่สุดควรจะได้เกรด Very Good


ทั้งหมดนี้คือพื้นฐานหลักๆของ 4Cs ซึ่งเป็นเหมือนหัวใจในการพิจารณาคุณภาพเพชรแต่ละเม็ดที่ใช้กันอย่างแพร่หลายและเป็นที่ยอมรับทั่วโลก โดยทางเราแนะนำเป็นอย่างยิ่งให้ผู้ซื้อทุกท่านซื้อเพชรที่มีใบรับรอง (Certificate) ที่ออกโดยสถาบันที่เป็นที่ยอมรับ เนื่องจากใบรับรองจะให้รายละเอียดของเพชรครบทั้ง 4Cs อย่างถูกต้องครบถ้วน ทำให้เราสามารถเลือกซื้อเพชรได้อย่างมั่นใจ โดยทางเราแนะนำใบรับรองของ GIA (Gemological Institute of America) ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นสถาบันอัญมณีที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดจากทั่วโลก

โดยสรุปแล้วเวลาเราจะเลือกซื้อเพชรเราควรพิจารณาจากทั้ง 4 องค์ประกอบนี้ประกอบกัน ไม่ควรเลือกจากแค่องค์ประกอบใดองค์ประกอบหนึ่ง เพราะมูลค่าของเพชรมาจากทั้ง 4 องค์ประกอบนี้ประกอบเข้าด้วยกันนั่นเอง


Photo Credit : http://4cs.gia.edu/en-us/4cs-diamond-quality/